Browsed by
Tag: ความยึดติด

สติและปัญญา

สติและปัญญา

รากฐานของจิต มันมี 2 นัย คือ นัยแห่งสติ และนัยแห่งปัญญา

  1. สติ คือ การรู้เท่าทันกายใจของตน
  2. ปัญญา คือ ความเข้าใจโลกตามความเป็นจริง ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ

สองสิ่งนี้เมื่อประกอบกัน จิตจะเป็นสุข เบิกบาน และอิสระ ควรค่าแก่งานสร้างสรรทั้งปวง

ฟากสติ เราฝึกหัดได้ด้วยการฝึกสติทั้งสาม

ส่วนฟากปัญญา เราพัฒนาได้ด้วยการ คิดดี ทำดี พูดดี เจริญกุศลให้มาก และเรียนรู้สังเกตความจริงของรูปนามอยู่เสมอ

การคิดดี ทำดี พูดดีนั้น เป็นสิ่งที่มีคุณอย่างยิ่ง
นอกจากมันจะทำให้เกิดสิ่งดีๆแก่ผู้อื่นและสังคมแล้ว
มันยังจะทำให้จิตของเราพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว

จิตที่ประกอบคุณความดี จะเบา เบิกบาน และเป็นสุขอันละเอียด ซึ่งเป็นรากฐานของการหลุดพ้น

หากเราคิดดีอยู่เสมอ (บนรากฐานแห่งความเป็นจริง) จิตจะมีความเคยชินกับอาการของตัวมันเอง ซึ่งมันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งหลุดพ้นในที่สุด… อ่านต่อ

การละชั่วทำไมทำยากกว่าการทำดี?

การละชั่วทำไมทำยากกว่าการทำดี?

การละชั่วทำไมทำยากกว่าการทำดี?


 สำหรับพวกเราแล้วอย่าได้ใช้คำว่า “ชั่ว” เลย มันดูรุนแรงไป
“ชั่ว” ขอให้หมายถึงสิ่งที่เลยอุปกิเลสขึ้นไปมากๆ ซึ่งคือการ เบียดเบียนผู้อื่นจนผิดศีล

แต่ปัญหาส่วนใหญ่ของพวกเรานั้น คือการกระทำไม่ดีผิดหลักธรรม ซึ่งสาเหตุหลักคือ เราไม่สามารถ เอาชนะอำนาจกิเลสในตัวเราได้

และอีกข้างหนึ่ง การทำดีของพวกเรา ส่วนใหญ่ก็ทำเพราะยึดติดในดีนั้น

ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ ต่างสะท้อนให้เห็นว่า พวกเราล้วนเดินไปตามอำนาจอัตตาตัวตนของเราทั้งสิ้น

ทำดีก็เพื่อส่งเสริมตัวตน มันจึงทำได้ง่าย
ละสิ่งไม่ดีทำได้ยาก ก็เพราะไม่อาจชนะอำนาจตัวตนของเราได้อีกเช่นกัน

ดังนั้น หากเราสามารถพิจารณาตรงลงไปเพื่อลดอัตตาตัวตนของเราได้ มันก็จะง่าย และเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ เรียกว่า ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว

แต่หากยังไม่สามารถทำได้ เราก็ต้องแยกจัดการเป็นสองมุม คือ

มุมหนึ่ง จัดการกับความไม่ดี และอีกมุมหนึ่ง ป้องกันการเกิดอัตตาตัวตน ยามเมื่อทำดี

ซึ่งการจัดการกับความไม่ดีนั้น เราทำได้ดังนี้คือ

  1. พิจารณาให้เห็นโทษของสิ่งนั้นอย่างแจ้งชัด จนจิตมันยอม มันกลัวหากจะทำไม่ดีเช่นนั้นอีก
  2. พิจารณาดูเหตุและปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการกระทำไม่ดีนั้น แล้วพยายามกำจัดเหตุเหล่านั้นเสีย
  3. พิจารณาดูอาการนำและลีลาของมันตั้งแต่ต้นจนเกิดการทำไม่ดีเช่นนั้น
  4. นำปัญญาที่เกิดจากการพิจารณาทั้งหมดนั้น มาเป็น โปรแกรมสำหรับตั้งสติ เพื่อการตระหนักรู้เท่าทันและละวาง ยามเมื่อมันจะเกิดขึ้น
  5. ซึ่งแน่นอน เราต้องเฝ้าดูตัวเราเองอยู่เสมอ ยิ่งหากเราสามารถกันไม่ให้เหตุนำมันเกิดขึ้นได้ ก็ยิ่งง่าย เป็นการตัดก่อนเกิด
  6. หากยังพลาดท่าต่อมันอีก ก็ต้องพิจารณาให้มากขึ้น หารูรั่วของเรา แล้วพยายามอุดรูนั้นเสีย

ส่วนมุมที่สองนั้น หลักใหญ่ๆ คือ ยามเมื่อเราทำดี เราต้องละความยึดมั่น 3 อย่างคือ

  • ยึดมั่นในสิ่งที่ทำว่าดี
  • ยึดมั่นว่าเราเก่งเราดี
  • ยึดมั่นว่าเราเป็นผู้ทำดีนั้น

ซึ่งวิธีการได้เคยพูดไปมากแล้ว จะไม่ขอกล่าวซ้ำตรงนี้

ให้ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เรียกว่า การหมั่นมองตน แก้ไขตน เรียนรู้ตน ปรับปรุงตน ต่อไปมันก็จะไม่มียากไม่มีง่าย อะไรอีก

 

เจริญธรรม

อาจารย์หมอ… อ่านต่อ

ความทุกข์บนความสัมพันธ์

ความทุกข์บนความสัมพันธ์

การที่ผู้อื่นไม่เป็นดังใจเรา หรือไม่เป็นดังที่เราคิด ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เราทุกข์อยู่เป็นประจำนั้น มันกลับแสดงสัจธรรมให้เราเห็นสองอย่างคือ

  1. ไม่ว่าเค้าจะเป็นใคร สัมพันธ์กับเราอย่างไร เราไม่มีอำนาจอะไรที่จะไปบงการเขา ให้เขาเป็นเช่นนั้นเช่นนี้หรอก ไม่มีใคร เป็นอะไร ของใครจริงๆ ตัวเราเองยังไม่ใช่ของเราเลย
  2. ความคิดของเรา กับความเป็นของเขา มันมักจะห่างกันไกล อย่าได้หลงเลยว่าที่เราเข้าใจใคร หรือคิดว่าใครเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะเหตุนั้นเหตุนี้ มันจะถูกตรงตามนั้น

มันไม่แน่เสมอไปหรอก โอกาสผิดมากกว่าครึ่ง

เราไม่มีเจโตอย่างที่เราหลงหรอก

จงปล่อยวางความคิด ความคาดหวัง และความคาดเดา หรือเจโตปลอมๆ ของเราเสีย

หัดเปิดใจ ยอมรับ ให้โอกาส ให้อิสรภาพ ที่ใครจะเป็นอะไรในแบบของเขา โดยเราไม่ต้องไปก้าวก่าย แม้กระทั่งทางความคิด

หากเรามีหน้าที่ที่จะต้องแนะนำ ก็ให้ทำด้วยความรักความเมตตา ความปรารถนาดี

แต่ต้องตระหนักไว้เสมอว่า เราเป็นเพียงเหตุปัจจัยเล็กๆของเขาเท่านั้น อย่าได้สร้างตัวตนของตนให้มันใหญ่โตเลย เราจะทุกข์ฟรีเปล่าๆ และอาจสร้างกรรมแถมเข้าไปอีกด้วย เพราะโทสะ

ทำไมล่ะคนอื่นถึงไม่เป็นดังที่เราคิด

มันก็เพราะ เราไม่คิดดังที่เขาเป็น

แล้วทำไมล่ะ ความคิด ความเข้าใจของเราที่มีต่อผู้อื่น มันมักจะไม่ค่อยถูกตรงตามที่เขาเป็น

มันก็เพราะ ที่เราคิดนั้นมันมาจากตัวเรา ไม่ใช่ตัวเขา มันมาจากการรับรู้ การตีค่าความหมายของเราเอง

เรียกว่า การรับรู้ของเรามันไม่บริสุทธิ์

การรับรู้ของเรามันถูกบดบัง ถูกแทรกแซงด้วยทิฐิที่ผิดเพี้ยน
ด้วยอารมณ์
ด้วยอัตตาตัวตนของเรา
ด้วยความคิดที่เรายึดติด
และด้วยความโลภ โกรธ หลง ที่เรามี
มันจึงทำให้จิตใจเราคับแคบ ไม่เปิดกว้าง
มากมายด้วยเงื่อนไข
มากมายด้วยกรอบและอดีตสัญญาของตัวเอง

ดังนั้น มันจึงปักใจเชื่ออะไรไม่ได้

เพราะหากเราหลงปักใจเชื่อ นั่น! มันเป็นเหตุนำแห่งความทุกข์ที่จะเกิดแก่ตัวเราเองเท่านั้น และมันมักจะเลยไปก่อเวรสร้างกรรมอยู่บ่อยๆ

ดังนั้น การที่เราจะเห็นโลกตามเป็นจริงได้ เราก็ต้องฝึกให้การรับรู้ของเรา คืนสู่ความบริสุทธิ์ดั้งเดิม

คือไม่ปล่อยให้สิ่งมัวหมองทั้งหลายนั้นมาบดบังการรับรู้ของเรา

เรียกง่ายๆ ว่า เอาความคิดของเราไว้ข้างหลัง อย่าให้มันมาบังความเป็นจริง

ซึ่งก็ต้องเริ่มที่ หัดเปิดใจ ยอมรับ ทุกๆสิ่ง ทุกๆคน ในการที่เขาจะเป็นในแบบของเขา

อดทนที่จะเรียนรู้ สังเกต ด้วยใจที่เปิดกว้าง ยอมรับในทุกสิ่งๆทุกๆสถานการณ์

แล้วเราจะค่อยๆอิสระจากการปรุงแต่งของเราเอง

มันมีความจริงอย่างหนึ่งที่พวกเราไม่เข้าใจและมองข้ามอยู่เสมอ คือ

เมื่อเรารู้จักเปิดใจกว้าง และให้โอกาสทุกๆสิ่ง ทุกๆคน ที่จะเป็นอย่างไรก็ได้ ตามเหตุปัจจัยของเขา

ชีวิตเราเองกลับจะเป็นอิสระ ไม่คับแคบ และไม่ถูกพันธนาการ ซึ่งมันเป็นปากทางแห่งความหลุดพ้น

เพราะความหลุดพ้นที่แท้จริง มันคือความหลุดพ้นจากการปรุงแต่งของเราเองเท่านั้น

 

เจริญธรรม

อาจารย์หมอ… อ่านต่อ

สำรวจตนเองและพิจารณาแก้ไข

สำรวจตนเองและพิจารณาแก้ไข

ลองสำรวจตัวเองดูสิ ว่าเธอมีความรักความเมตตาต่อผู้อื่น หรือว่ามีตัวตนอันใหญ่ เอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง

  1. เวลาเธอได้หรือมีอะไร เธอจะนึกถึงผู้อื่น อยากแบ่งปัน หรืออยากให้ผู้อื่นได้หรือมีอย่างเธอ
    หรือว่า เธอนึกถึงแต่ตัวเธอเองผู้เดียว, กลัวผู้อื่นจะมาแย่ง 
  2. เวลาเธอต้องสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือทำอะไรที่มีผลกับผู้อื่น เธอจะระแวดระวังเสมอที่จะไม่ให้ไปกระทบใคร หรือทำให้ใครเดือดร้อน
    หรือว่า นึกจะทำก็ทำ โดยไม่เคยคิดว่าใครจะเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร 
  3. หากเธอต้องพบปะผู้อื่น เธอจะยินดีและมีความปรารถนาอยู่ภายใน ที่จะทำให้เขามีความสุข
    หรือว่า ฉันไม่อยากพบใคร ฉันอยากอยู่ของฉัน ฉันไม่ยุ่งกับใคร และใครก็อย่ามายุ่งกับฉัน 
  4. เธอชอบที่จะช่วยเหลือผู้อื่น และยินดียามเมื่อผู้อื่นช่วยเหลือเธอ
    หรือว่า เธอไม่ชอบช่วยเหลือใคร ฉันชอบทำของฉันคนเดียว และใครก็ไม่ต้องมาช่วยฉัน 
  5. เธอเปิดใจรับฟังความเห็นผู้อื่นอยู่เสมอ โดยไม่คิดว่าตนจะถูกไปซะหมด
    หรือว่า กูถูก กูดี กูเก่ง กว่าคนอื่น 
  6. ยามเกิดข้อผิดพลาด เธอเปิดใจยอมรับคำตำหนิติเตียน และพร้อมที่จะแก้ไข
    หรือว่า เธอมีแต่หาข้ออ้าง, หาข้อแก้ตัว, โทษสิ่งโน้นสิ่งนี้ คนโน้นคนนี้ 
  7. เวลาผู้อื่นได้รับคำชม หรือประสบกับสิ่งดีๆ หรือได้รับอะไรที่พิเศษ เธอรู้สึกยินดี ปลื้มใจไปกับเขา
    หรือว่า เธออิจฉาริษยา รู้สึกไม่ยุติธรรม อึดอัดขัดเคือง หมั่นไส้ เชอะ! 
  8. ยามที่ผู้อื่นไม่เป็นดังใจเธอ หรือไม่ทำในสิ่งที่เธอคิด เธอเปิดใจยอมรับ และให้อภัยได้
    หรือว่า เธอบันดาลโทสะ, โมโหโทโส, ขุ่นเคือง, เกิดความเกลียดชัง 
  9. ยามเมื่อเธอเสียสละสิ่งของหรือทำงานให้ส่วนรวม เธอมีความสุข ความยินดีในการที่ได้ทำ ได้ช่วยผู้อื่น โดยไม่หวังว่าใครจะรู้หรือไม่
    หรือว่า “ฉันเสียสละอยู่คนเดียว,ฉันเหนื่อยคนเดียว, มีใครรู้มั้ยว่าฉันทำ/ฉันเป็นคนให้, ทำไมไม่มีใครช่วยฉันเลย, ทำไมฉันได้แต่งานที่ลำบาก”

ก้าวต่อไป
เมื่อสำรวจตรวจสอบตนเองแล้ว หากมีด้านลบ เราจะพบข้ออ้างและเหตุผลมากมายที่สนับสนุนให้เราเป็นเช่นนั้น นั่นแสดงถึงตัวตนหรือสิ่งที่เรายังยึดอยู่

จงเอาสิ่งเหล่านั้นมาพิจารณาให้เห็นแจ้งให้ได้ว่า ทำไม เพราะอะไร เราจึงไม่ควรยึดเช่นนั้น ให้จิตมันยอมให้ได้
แล้วใช้ปัญญาตรงนี้ ไปคอยตัดความยึดนั้น ยามเมื่อมันเกิดขึ้นอีก

หากมันยังมีมาก ดีกรีเท่าเดิม หรือยังเกิดขึ้นอีกบ่อยๆ เราก็ต้องพิจารณาซ้ำ หาเหตุผลสอนมันให้มากขึ้น อุดข้ออ้างทั้งหลายของมันให้หมด อย่าปล่อยให้เป็นช่องของมาร
ทำเช่นนี้เรื่อยๆ จนเราสามารถย้ายมาอยู่ด้านบวกได้หมด แล้วเราจะบังเกิดเมตตาขึ้นโดยอัตโนมัติ ในขณะเดียวกันตัวตนของเราก็จะค่อยๆ หดเล็กลง

เจริญพร

อาจารย์หมอ… อ่านต่อ

ธรรมะวันนี้

ธรรมะวันนี้

ระวังให้ดีนะ!

ไอ้ความติดดีของคนเรานี่ มันแยบยลดีนัก

มันชอบอ้างกับเราว่าทำเพื่อผู้อื่น ทำด้วยความปรารถนาดี
แต่มันกลับแฝงไว้ด้วยความอยากโก้ อยากดี อยากให้คนอื่นเห็นว่าเราเก่งเราดี ภายใน

ไปๆ มาๆ มันเลย ไม่ได้แม้ประโยชน์ท่าน และเสียทั้งประโยชน์ตน

เรียกว่า ขาดทุนย่อยยับ

เพราะฉะนั้น จึงต้องระวังใจของเราให้ดี อย่าให้กิเลสมันหลอกเอานะ… อ่านต่อ

ธรรมะวันนี้

ธรรมะวันนี้

พวกเธอเห็นสิ่งนั้นมั้ย

มันไม่ใช่เป็นเพียงมายาของจิตของเธอเองหรอกเหรอ
ใยเธอถึงจริงจังกับมันราวกับมันเป็นสิ่งจริงแท้
แต่ก็ไม่สามารถใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
และกลับทุกข์ไปกับมันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

จงตื่นขึ้นกันสักที
พวกเธอหลับใหลกันมานานแล้วนะ
ละทิ้งความยึดติดและความเกลียดชังทั้งปวง
เปิดตาขึ้นดูให้ดีสิ
สิ่งนั้นมันมาจากใครกัน… อ่านต่อ

ธรรมะวันนี้

ธรรมะวันนี้

คนเราเวลารับรู้อะไร จะเต็มไปด้วยเรื่องราว คุณค่าและความหมายที่ตนตอกย้ำไว้ในอดีตมากมาย ออกมาป้ายสีเติมแต่งการรับรู้นั้น
จนตนไม่สามารถเข้าใจสิ่งนั้นได้ตามที่มันกำลังเป็นอยู่จริงๆ
แล้วเราก็ยึดมันซ้ำเข้าไปอีก
มันก็มีแต่หลงซ้อนหลง ทุกข์ทับถมอยู่อย่างนั้นไม่มีทางที่จะเห็นโลกตามเป็นจริงได้

จงหมั่นฝึกที่จะปล่อยให้การรับรู้ของเราเป็นของมันเองตามธรรมชาติ
ละวางคุณค่าความหมายทั้งหลายที่ปรากฎ
ไม่ต้องหาบทสรุปใดๆ
ใจเย็นๆกับทุกการรับรู้สัมผัส
อย่ารีบกระโจนเข้าไปในคุณค่าความหมายเหล่านั้น
เพราะมันเป็นเพียงสิ่งที่ตนปรุงแต่งขึ้นเองทั้งนั้น

แล้วชีวิตของเราจะได้สร้างปัญหาให้กับตนเองและผู้อื่นน้อยลงบ้าง… อ่านต่อ

ความรักความยึด

ความรักความยึด

ความรักที่แท้จริงนั้นแตกต่างกับความรักในแบบโลก ๆ โดยสิ้นเชิง
ความรักแบบโลก ๆ นั้น เราจะปรารถนาให้คนที่เรารักทำให้เรามีความสุข
แต่ความรักที่แท้จริงซึ่งเป็นพลังอันสำคัญยิ่งของธรรมชาตินั้น
เรากลับปรารถนาที่จะทำให้คนที่เรารักมีความสุข
ซึ่งหากมนุษย์เรารักกันได้เช่นนี้ มันก็มีแต่การสร้างสรรค์ และทำให้ทุก ๆ สิ่งดีขึ้น
แต่คนเราไม่เข้าใจ เพราะมัวแต่ยึดติดอยู่กับรูปลักษณ์และความรู้สึกหยาบ ๆ ภายนอกที่มันบดบังจึงทำให้เราเกิดความยึดมั่นถือมั่นและแปรเปลี่ยนสิ่งที่ดีงามของธรรมชาติให้กลายเป็นความเห็นแก่ตัว

โลกทั้งหมดมันไม่ได้มีอะไรทั้งนั้นนอกไปจากการปรุงแต่ง… อ่านต่อ