ความรักความยึด

ความรักความยึด

ความรักที่แท้จริงนั้นแตกต่างกับความรักในแบบโลก ๆ โดยสิ้นเชิง
ความรักแบบโลก ๆ นั้น เราจะปรารถนาให้คนที่เรารักทำให้เรามีความสุข
แต่ความรักที่แท้จริงซึ่งเป็นพลังอันสำคัญยิ่งของธรรมชาตินั้น
เรากลับปรารถนาที่จะทำให้คนที่เรารักมีความสุข
ซึ่งหากมนุษย์เรารักกันได้เช่นนี้ มันก็มีแต่การสร้างสรรค์ และทำให้ทุก ๆ สิ่งดีขึ้น
แต่คนเราไม่เข้าใจ เพราะมัวแต่ยึดติดอยู่กับรูปลักษณ์และความรู้สึกหยาบ ๆ ภายนอกที่มันบดบังจึงทำให้เราเกิดความยึดมั่นถือมั่นและแปรเปลี่ยนสิ่งที่ดีงามของธรรมชาติให้กลายเป็นความเห็นแก่ตัว

โลกทั้งหมดมันไม่ได้มีอะไรทั้งนั้นนอกไปจากการปรุงแต่ง
แต่แม้โดยปรมัตถ์มันจะว่างเปล่าและไร้ความหมายใด ๆ ทั้งสิ้นก็ตาม สมมุติและวิมุตติก็ต้องอยู่คู่กันเสมอ
ดังนั้น ในเมื่อเราต้องปรุงแต่ง ก็ขอให้ปรุงแต่งเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
และความรักก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการปรุงแต่ง แต่มันเป็นการปรุงแต่งที่มีค่ายิ่ง และเป็นต้นกำเนิดแห่งพลังอันสร้างสรรค์มากมาย อันเป็นไปเพื่อประโยชน์ทั้งในสังสารวัฎและนิพพาน

เราจึงควรใช้สิ่งที่มีค่ายิ่งของธรรมชาตินี้ ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งแก่ตัวเราเองและผู้อื่น จนสามารถนำพาตัวเรา คนที่เรารัก และผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเราทั้งหมดไปสู่เป้าหมายอันสูงสุด ซึ่งคือความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงได้ในที่สุด

แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะเพื่อไม่ให้ความรักมันเลยไปสู่ความยึด?

จุดสำคัญคือ เราต้องเข้าใจความจริงว่า ความยึดมั่นถือมั่นนั้นมันไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลาเป็นตัวตนอันถาวรของเรา มันเกิดขึ้นทีหลังและค่อย ๆ ถูกปรุงให้ใหญ่โตขึ้นตามความเคยชินที่มีของแต่ละบุคคลในแต่ละเรื่อง

ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจได้เช่นนี้ เราจึงจัดการกับมันด้วยการพัฒนาตนให้มีสติปัญญารู้เท่าทันยามเมื่อมันปรากฎขึ้นจากความเคยชิน แล้วไม่หลงปรุงต่อไปกับมัน ไม่ไหลตามแต่ก็ไม่ขัดแย้งกับมัน มันก็จะค่อย ๆ สลายไป และยังเป็นการลอกความเคยชินนั้นออกไปด้วยในตัว

การที่เราจะใช้ความรักให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่ปล่อยให้มันเลยไปเป็นความยึดนั้น มีหลักในการปฏิบัติง่าย ๆ ดังนี้

  1. เราต้องตระหนักไว้เสมอในทุกสิ่งที่เราจะคิด พูด หรือกระทำ ว่าเราจะทำเพื่อความสุขของคนที่เรารัก เพื่อให้เขามีความสุข ส่วนความสุขของเราจะได้หรือไม่ มีหรือไม่ ไม่ใช่สาระ หากมีมันก็เป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น ไม่ต้องปฏิเสธมัน แต่ก็เฝ้าระวังใจไว้ไม่ให้ไปหลงยึดมั่นปรารถนามันอีก
  2. เราต้องตระหนักไว้ให้ดีว่า เราไม่ได้เป็นเจ้าเข้าเจ้าของหรือมีอำนาจเหนือคนที่เรารัก หากเรารักเขา เราต้องให้อิสรภาพแก่เขา ในการที่จะมีเป็นในแบบของเขา แม้บางครั้งมันจะเป็นสิ่งผิดหรือสิ่งไม่ดี หากเราเตือนหรือแนะนำได้ก็ค่อย ๆ พูดค่อยเปรย แต่หากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสมก็จงคอยให้มันผ่านไปก่อน แล้วค่อยหาโอกาส หากเรารักเขาจริง เราย่อมสามารถรอคอยโอกาสเช่นนั้นได้
  3. จงอย่าได้สร้างภาพหรือสร้างความปรารถนาให้เขาเป็นอะไร ๆ ในแบบที่เราต้องการ เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ เราเป็นเพียงเหตุปัจจัยเล็ก ๆ เล็กมาก ๆ ด้วย ที่เข้ามาประกอบชีวิตเขา เขาจะเป็นอะไร ๆ มันมีเหตุปัจจัยอีกมากมายที่สร้างสมมาทั้งในอดีตและปัจจุบัน
  4. เมื่อเกิดความสุขขึ้น จงมีสติรู้เท่าทันและไม่ปล่อยใจให้หลงยึดมั่น เราเสพความสุขนั้นได้ ใช้มันให้เป็นพลังให้แก่ชีวิตของเราได้ แต่จงตระหนักถึงความเป็นมายาและความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของมันไว้เสมอ ให้มันผ่านมาแล้วก็ผ่านไปของมันเองโดยไม่ต้องพยายามยึดติดมันไว้ หรือปฏิเสธ หรือโหยหามันอีก
  5. จงตระหนักไว้ให้ดีว่า เมื่อเรารักและปรารถนาดีต่อเขา เราก็ย่อมปรารถนาให้เขามีความสุขไม่ใช่ทำให้เขาทุกข์ ซึ่งความทุกข์ที่เรามักทำให้เกิดขึ้นแก่เขานั้น ส่วนมากก็เป็นเพราะเราต้องการให้ได้ดังใจเราเกือบทั้งสิ้น แม้มันจะเกิดจากความหวังดีก็ตาม แต่ก็ไม่ควรทำ เพราะหากทำเช่นนั้น กลับจะเป็นการก่อให้เกิดความทุกข์หรือความขัดแย้งขึ้น
  6. จงตระหนักไว้เสมอว่า เป้าหมายสูงสุดของการที่เรามาอยู่ร่วมกันก็เพื่อการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และร่วมทางกันเพื่อไปสู่ความรู้แจ้งหลุดพ้นเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์อันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเราอีกมากมาย ที่ยังจมอยู่ในความหลงเหมือนกับเรา ดังนั้นเราจึงต้องจับมือกัน เป็นกำลังใจให้แก่กันและกัน เกื้อกูลสนับสนุนกัน และนำพากันไปสู่เป้าหมายอันสูงสูดนั้นให้จงได้

หากเราทำได้เพียงแค่นี้ในเบื้องต้น การอยู่ร่วมกันของเราจะมีแต่ความสุขและเกิดพลังอันเป็นประโยชน์สูงสุดได้ในที่สุด

เจริญธรรม

Comments are closed.