ความรู้จากผู้อื่นมันย่อมไม่ใช่ความรู้ของเรา

ความรู้จากผู้อื่นมันย่อมไม่ใช่ความรู้ของเรา

ปัญหาใหญ่ของคนในยุคปัจจุบันนี้ คือ ความรู้มันเฝือ

คล้ายๆกับคำโบราณว่า
ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด

คนยุคนี้ รู้กันมากเหลือเกิน ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม

รับรู้กันมาจากผู้อื่นบ้าง คิดกันเอาเองบ้าง มีได้ทุกวัน แต่เอามาทำให้เกิดผลกับตนไม่ได้สักที

มันเข้าลักษณะจับจด ดมๆแล้วก็ปล่อยไป ไม่เคยที่จะจับให้มั่นคั้นให้ตาย
หรือมาทำให้เกิดผล สนแต่แค่ “กูรู้นะ” เท่านั้น

ผลก็คือ ไม่ได้อะไรจากความรู้นั้นเลย มีแต่มาเสริมสร้างทิฐิมานะให้มากขึ้น
แล้วก็อ่อนแอปวกเปียก กิเลสหนา แต่ปัญญานิ่ม
เพราะไม่เคยรู้จากของจริง มีแต่รู้ของจำ รู้ของจินตนาการ

บนเส้นทางแห่งการพัฒนาหรือการภาวนาที่แท้ มันไม่ใช่อย่างนั้น
มันต้องเอาความรู้นั้น มาทำให้เกิดผล เกิดประโยชน์
มันต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆเอามาย่อยทีละอย่าง ทำไปทีละขั้น
ให้เกิดผลก่อน แล้วผลนั้นจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อความรู้อันใหม่ ต่อไปเรื่อยๆ

การศึกษาหาความรู้มันไม่ใช่สิ่งผิด
แต่การที่หาความรู้มาแค่เป็นเพียงเครื่องประดับนั้น เป็นสิ่งเสื่อม

จงจำไว้ว่า
ความรู้จากผู้อื่นมันย่อมไม่ใช่ความรู้ของเรา
ความรู้ของเราจะเกิดได้ ก็จากการกระทำของเรา
ซึ่งอาศัยการเรียนรู้จากผู้รู้ แล้วนำมาปฏิบัติ
แต่หากเรียนรู้มาเพื่อแค่รู้ นั่นมันก็มิใช่ความรู้ที่แท้จริง
ความรู้ที่แท้จริง มันต้องเกิดผลเกิดประโยชน์จริงๆ

ดังนั้น จงดำเนินให้ถูกเถิด
อย่าปล่อยให้สิ่งล้ำค่า กลายเป็นไม่มีค่า
เพราะกิเลสตัณหาของตนเลย
ค่อยๆกิน ค่อยๆย่อย ค่อยๆเพาะบ่ม แต่ทำไม่หยุด
แล้วก็เรียนรู้มันต่อไป พัฒนาตนไป
ในที่สุด คุณค่าของสิ่งล้ำค่า ย่อมจะปรากฏแก่เธอเอง

Comments are closed.