โลกทั้งใบก็แค่ใจดวงเดียว

โลกทั้งใบก็แค่ใจดวงเดียว

เมื่อเกิดอารมณ์ จงตระหนักไว้ให้ดีว่า
ที่เรามีอารมณ์เช่นนี้
เป็นเพราะจิตอันหลงผิดของเราเองที่ปรุงแต่งอารมณ์ขึ้น
ไม่ใช่เพราะใคร หรือใครมามีอิทธิพล

เมื่อเราตระหนักได้เช่นนี้ จิตจะไม่ส่งออกนอก ไปโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้ โทษคนนั้นคนนี้

เมื่อจิตสงบไม่ส่งไปโทษผู้อื่น ให้หันกลับมาดูที่ตัวเราเอง
สังเกตดูที่อารมณ์นั้น ว่ามันอยู่ที่ตรงไหน มันมีสัณฐานรูปทรง สีสันอย่างไร
หาความเป็นตัวตนอะไรในตัวมันได้หรือเปล่า เราถึงได้หลงไปตามอำนาจมัน

เมื่อหาสัณฐานใดในมันไม่ได้ มันจึงไม่ใช่มีอยู่จริงในลักษณะวัตถุ
แต่เป็นความปรากฏขึ้นของการปรุงแต่งของจิตเท่านั้น

จงมองต่อไปด้วยความแยบคายว่า
แล้วในอารมณ์ที่จิตมันปรุงแต่งขึ้นนั้น มันประกอบด้วยอะไรเล่า
มันถึงได้ปรากฏดูเหมือนจริงแท้เช่นนั้น

เราก็จะว่า มันเกิดอยู่บนการรับรู้ ที่เอาสัญญาที่เราหมายมั่น
เคยชอบไม่ชอบ เคยฝังใจ เคยยึดติด เคยตอกย้ำ เรื่องราวต่างๆในอดีต มาปรุงให้เป็นปัจจุบัน
จนเกิดความพอใจไม่พอใจขึ้นในปัจจุบัน
ซึ่งมันเป็นเพียงกลุ่มก้อนของเหตุปัจจัย หาตัวตนใดไม่ได้เลย

เมื่อพิจารณาและดูเห็นภายในตนได้เช่นนี้
ให้ตั้งมั่นอยู่เช่นนั้นด้วยความสงบเย็นท่ามกลางอารมณ์นั้น ด้วยความเข้าใจ
โดยไม่ต้องปรุงแต่งต่อเติมอะไรอีก
แล้วเราก็จะเห็นว่า
อารมณ์นั้น จะค่อยๆหมดอิทธิพลกับตัวเราไป
กลายเป็นเพียงปรากฏการณ์อันเป็นมายา คล้ายความฝันที่มิได้มีอยู่จริง

จงดำรงอยู่ด้วยสติปัญญาเช่นนั้น จนกว่าอารมณ์จะหายไปหมด

เมื่ออารมณ์สงบราบเรียบหมดไป ให้ยกเหตุการณ์นั้นมาพิจารณาย้อนหลัง ให้เห็นว่า
เราหลงยึดอะไรถึงได้ก่อเกิดอารมณ์นั้นขึ้น
เช่น ยึดโลกธรรม ยึดถูกยึดผิด ยึดดียึดไม่ดี ยึดตัวตนของตน ฯลฯ
เพื่อเป็นทุนแห่งปัญญาตัดความหลงของเราในครั้งต่อไป

จงจำไว้ว่า
โลกทั้งใบมันแค่ใจดวงเดียว
หากใจดีก็เป็นสุข หากใจหลงก็สร้างทุกข์ เท่านั้นเอง

Comments are closed.