รู้จักใช้ แต่ก็ไม่ยึด

รู้จักใช้ แต่ก็ไม่ยึด

ทุกสิ่งล้วนเกิดจากจิต
เมื่อจิตรับรู้ก็ให้คุณค่าและความหมายไปตามสัญญาที่ตนสร้างสมไว้
หากจิตหลงยึดในความหมายและคุณค่านั้น
จิตก็มีที่เกาะ
เมื่อมีที่เกาะก็มีที่เกิด
เกิดในภพชาติน้อยใหญ่ ตามสิ่งที่ตนยึด

ธรรมชาติอันเป็นแก่นแท้ของจิตนั้นว่างเปล่า ไร้ตัวตน
การปรุงแต่งทั้งหลายก็ว่างเปล่า ไร้ตัวตนเช่นกัน
รูปก็ว่างเปล่าจากความหมายแห่งการเป็นตัวตนใดๆ
ความหมายและคุณค่าของสิ่งใดก็ว่างเปล่า

ถูก-ผิด ดี-ชั่ว ขาว-ดำ วิเศษ-ธรรมดา แม้กระทั่ง พุทธะ-ปุถุชน
ก็เป็นพียงความหมายและคุณค่าที่จิตสร้างขึ้น

ผู้รู้ทั้งหลายเห็นแจ้งในความจริงนี้
จึงไม่หวั่นไหวไปกับคุณค่าความหมายใดๆและสิ่งใด
แค่ใช้ประโยชน์กับมันให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่น โดยไม่หลงยึดมั่นถือมั่นใดๆอีก

หมาป่าเห็นผู้หญิงว่าเป็นอาหาร
ชายโฉดเห็นผู้หญิงแล้วคิดกำหนัด
พระเห็นผู้หญิงเป็นเพียงกองกระดูก

สุนัขเห็นอุจจาระเป็นอาหาร
ชาวบ้านเห็นอุจจาระเป็นของน่ารังเกียจ
ชาวสวนผู้ฉลาดเห็นอุจจาระเป็นปุ๋ยอย่างดี

แต่ละภพภูมิก็ปรุงแต่งไปตามภพภูมิของตน
หากยึดในการปรุงแต่งนั้น ก็เกิดในภพภูมินั้น

แล้วจริงแท้ผู้หญิงคืออะไร อุจจาระคืออะไร
มันก็ไม่คืออะไร แล้วแต่สมมุติกันเท่านั้น
สมมุติเพื่อทำประโยชน์ ผลก็เป็นบุญ
สมมุติให้เกิดโทษ ผลก็เป็นบาป
หากยึดมั่นในสมมุตินั้น กรรมทั้งหลายก็ส่งผล

จงวางตัวเป็นอิสระ ต่อความหมายและคุณค่าใดๆทั้งสิ้น
เพราะเห็นแจ้งในความเป็นมายาของมัน
รู้จักใช้สิ่งเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์
แต่ก็ไม่ยึดมั่นในประโยชน์นั้น อีกเช่นกัน

นี่คือหนทางสู่พุทธะภาวะ

Comments are closed.