Browsed by
Tag: โมหะ

การจัดการกับโมหะ

การจัดการกับโมหะ

ปัจจุบันโมหะเป็นกิเลสที่ผมพบบ่อยที่สุดเกิดขึ้นนาทีละ 2-3 ครั้งเป็นอย่างน้อย เนื่องจากเกิดถี่มากการพิจารณาสภาวะนั้นโดยใช้ธรรมคู่จึงไม่ practical จึงใช้วิธีรู้เอาว่าเผลอไปคิด หรือเผลอไปเหม่อทุกครั้ง ทันทีที่เผลอไปแล้วมีสติระลึกรู้ขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่เกิดปัญญามากนัก นอกจากทราบว่าโมหะเกิดแล้วก็ดับตามกำลังสติที่อ่อนลงและวิบากที่เจอในขณะนั้น ถึงจะรู้แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ จึงอยากขอคำแนะนำในการดูโมหะให้เกิดปัญญา


 ปัญญาแห่งธรรมคู่ เป็นปัญญาที่ใช้เพื่อให้จิตหลุดพ้นจากความเอนเอียงที่เข้าไปจมแช่ในข้างใดข้างหนึ่งของการปรุงแต่ง จะเห็นได้ง่ายในระดับหยาบๆที่เราให้คุณค่าความหมาย เช่น สั้นยาว กว้างแคบ สว่างมืด ดีไม่ดี ถูกผิด เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นการปรุงแต่งระดับสมอง จึงทำความเข้าใจได้ด้วยการคิดพิจารณาแบบที่เราเคยชินในวิสัยโลกๆ

มันจึงเป็นพื้นฐานที่เราต้องฝึกให้มาก เพื่อเกิดความเข้าใจลีลาของกิเลสที่มันลวงหลอกจิต แต่ธรรมคู่มิได้มีเพียงเท่านั้น มันยังมีละเอียดลงไปเรื่อยๆจนที่สุดถึงตัวต้นเหตุของสังสารวัฏเลย ซึ่งมันจะซ้อนกันอยู่อย่างซับซ้อน แต่เราไม่รู้เท่าทันมัน เพราะกำลังเรายังไม่พอ เราจึงต้องหมั่นฝึกฝนตั้งแต่หยาบไปก่อนเรื่อยๆ และมันก็แบบเดียวกันกับธรรมทุกชนิด สิ่งที่หยาบ เราก็ใช้การคิดพิจารณาได้ แต่พอละเอียดเข้าไป ต้องใช้การพินิจพิจารณา คือเรียนรู้ ดูด้วยตาปัญญาเป็นหลัก แต่การเรียนรู้ดูภายในก็ไม่ใช่การสอดส่องมองหา เพื่อให้รู้ เพื่อให้ได้อะไรสักอย่าง นั่นมันเป็นตัณหา ซึ่งเช่นนั้น มันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ และนี่ล่ะคือปัญหาสำคัญในปัจจุบันนี้

นักปฏิบัติส่วนมาก ศึกษาอ่านมามาก เรียนรู้กันมามาก สัญญาจำมันมากเกินไป เลยอยากรู้อยากเห็น อยากได้ ดี มี เป็น ก็เลยต้องตกร่องของตัณหา ซึ่งก็คือความหลงโดยไม่รู้ตัว อย่างที่พูดเสมอว่า มันหลงโดยไม่รู้ว่าตนหลงนั่นล่ะ

แม้ในสติปัฏฐานสี่ จะบอกว่าให้เรียนรู้ดูจิตอย่างนั้นอย่างนี้ มากมาย นั่นก็ไม่ใช่การที่เราจะต้องไปมองหามัน หรือคอยกำหนดจดจ้องมัน ไม่ใช่การที่เราจะต้องรู้ให้ได้ไปเสียทุกสิ่ง หากคิดเช่นนั้น นั้นก็ความหลงอีก แต่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้หมาย ความว่าให้ไม่สนใจที่จะเรียนรู้อีก เพราะทั้ง ต้องรู้ให้ได้ และไม่สนใจจะรู้ ก็เป็นธรรมคู่ทั้งนั้น ซึ่งมันเป็นผลจากความหลงอีกเช่นกัน

ที่ท่านกล่าวถึงจิตมีโลภะ จิตมีโทสะ จิตมีโมหะ จิตหดหู่ ฯลฯ นั่นท่านให้เรารู้จักตามความเป็นจริงที่มันปรากฏ ทำความเข้าใจในตัวมัน สังเกตเรียนรู้มัน แล้วก็ยอมรับธรรมชาติของมันตามที่มันเป็นอยู่ของมัน

ไม่ใช่เราจะต้องไปกระทำอะไรกับมัน หรือ ไปแทรกแซง (Interfere) มัน และที่สำคัญคือ เมื่อรู้แล้วก็ทิ้งซะ ทิ้งความรู้ที่เกิดนั่นล่ะ ให้ทุกสิ่งมันใหม่เสมอไม่ต้องไปเก็บความรู้เก่าให้มันคั่งค้าง

ผู้ฉลาดย่อมไม่หลงว่าตนฉลาด ผู้รู้จริงย่อมไม่หลงว่าตนรู้ ผู้หลุดพ้นย่อมไม่หลงว่าตนหลุดพ้น มันจึงไม่ต้องสนใจที่จะสะสมสิ่งที่รู้ไว้ แค่รู้ และยอมรับให้ได้ในทุกธรรมชาติตามที่มันปรากฏเท่านั้น

เพราะฉะนั้น หัวใจสำคัญของมหาสติปัฏฐานสี่ คือ ท่านต้องการให้เรา มองตนเอง เรียนรู้ธรรมชาติของตัวเราเอง เข้าใจ และยอมรับมัน เมื่อเราเรียนรู้ตัวเราเอง มองตัวเราเองอย่างถูกวิธีเช่นนี้ นั่นแหละเรากำลังวางตัวเราเอง เรากำลังเป็นอิสระ

นิ้วที่ชี้ไปดวงดาว ไม่ใช่ดวงดาว สิ่งที่ท่านบอก มันเป็นกุศโลบายให้เราแจ้งในสิ่งที่ท่านต้องการให้เราแจ้ง แต่มันก็ไม่ใช่ตัวสิ่งนั้น แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าสิ่งนั้นมันไม่มีภาษาหรือสมมุติใดที่จะให้เรารู้ได้ นอกจากการใช้กุศโลบายเท่านั้น

เมื่อมันไม่มีสมมุติ มันนอกเหนือภาษา มันจึงใช้แนวทางแบบโลกๆ ไม่ได้ แต่คนเราก็เคยชินอยู่แต่กับแนวทางการเรียนรู้แบบโลกๆ มันจึงไม่สามารถที่จะเข้าไปแจ้งในสิ่งนั้นได้ง่ายนัก

แต่หากไม่อธิบายด้วยแนวทางแบบโลกๆ ก็ไม่รู้จะสื่อกันอย่างไร แต่เมื่อสื่อกันแบบโลกๆ ก็กลับทำให้ไปเข้าใจในแบบโลกๆ อีก มันจึงไม่สามารถเข้าใจมันได้จริง ก็เลยไม่สามารถแจ้งต่อสิ่งๆ นั้นได้อีกเช่นกัน

นี่ล่ะปัญหาที่น่าเวียนหัวในการถ่ายทอดธรรมะ เพราะจริงๆแล้วการถ่ายทอดธรรมะที่แท้จริงจะเกิดจากจิตสู่จิตเท่านั้น มิได้เกิดจากคำพูดหรือภาษาเลย

ถึงพูดเสมอว่า ท่านพูดไม่ผิด แต่เราฟังไม่ถูก

และทั้งหมดมันก็เกิดมาจากจิตที่มีโมหะนั่นล่ะ เพราะฉะนั้น ในโมหะจิตมันจึงมีหลายระดับมากมาย จากหยาบๆ ที่เรารู้จักกันในลักษณะจิตที่สงสัย ลังเล วิตกกังวล ไปจนถึงจิตที่หลงจมแช่กับอารมณ์ ลงไปเรื่อยๆจนถึงหลงอัตตาตัวตนนั่นล่ะ

ของแบบนี้มันไม่เหมือนที่เขียนในหนังสือหรอก มันซ้อนกันอยู่ เพราะมันเป็นการปรุงแต่งที่ซับซ้อนเหมือนกองฟางนั่นล่ะ

ดังนั้นการที่เราจะเห็นมันได้ก็ด้วยตาปัญญาเท่านั้น ซึ่งก็หมายถึง … อ่านต่อ