โลกกับธรรม

โลกกับธรรม

โลกกับธรรม สมมุติกับปรมัตถ์ อดีตอนาคตกับปัจจุบัน
คนเรามันชอบแถ ไม่ติดข้างใดก็ข้างหนึ่ง

คนติดโลกก็ปฏิเสธธรรม คิดว่าธรรมมันไม่เกี่ยวกับโลก
คนติดธรรมก็ปฏิเสธโลก คิดว่าโลกมันขวางทางธรรม
ซึ่งทั้งสองก็คือความยึดมั่นถือมั่น

หากเราจมอยู่กับสมมุติ หลงสมมุติ วิ่งวุ่นไปในสมมุติ ผลคือความทุกข์
หากเราจะเอาแต่ปรมัตถ์ ปฏิเสธสมมุติ ไม่สนใจสมมุติ ผลก็คือ ติดสงบ ติดสุข
ซึ่งก็พาเกิดทั้งคู่ ยังหลงวนอยู่ในสังสารวัฏเช่นเดิม

หากเราพะว้าพะวง กังวล หวาดหวั่น อยู่กับอดีตอนาคต
ผลก็คือความทุกข์รุมเร้าในปัจจุบัน
หากเราจะเอาแต่ปัจจุบัน ไม่สนใจเรียนรู้อดีตเพื่อความไม่ประมาทในอนาคต
ผลก็คือสร้างเหตุแห่งทุกข์สะสม

ทางสายกลาง จึงไม่ใช่ ทางสายแถ
จะเอาข้างใดข้างหนึ่ง มันก็ได้อีกข้างหนึ่ง
มันคือแดนเกิด มันคือเหตุแห่งทุกข์

ต่อเมื่อสามารถเข้าใจแจ้งชัดได้ในความจริงทั้งสองข้าง
พบพานในความเป็นหนึ่งเดียว
จิตจึงจะเป็นอิสระ

ไร้โลก ไร้ธรรม ไร้สมมุติ ไร้ปรมัตถ์ ไร้กาลเวลา

โลกก็คือธรรม
สมมุติก็คือปรมัตถ์
อดีตปัจจุบันอนาคตล้วนเป็นหนึ่งเดียว

เมื่อคืนกลับสู่สภาพเดิมเช่นนั้น
จึงสามารถเป็นประโยชน์ได้สูงสุด
และนี่คือที่สุดแห่งพุทธประสงค์

Comments are closed.