การเตรียมตัวรับมือกับการระบาดของโรค COVID-19

การเตรียมตัวรับมือกับการระบาดของโรค COVID-19

สรุปให้ฟังอีกที เรื่องการเตรียมตัวรับมือกับการระบาดของโรค COVID-19 ที่อาจจะเกิดขึ้น

มันมีความจำเป็นอย่างมากที่พวกเราจะต้องปรับร่างกายและจิตใจของเราให้พร้อมรับมือกับไวรัสเสียแต่ตอนนี้ ยิ่งเราเตรียมตัวได้เร็วเท่าไร ความเข้มแข็งของเราก็ยิ่งมากเท่านั้น การเปิดรับโรคเข้าสู่ร่างกาย(Susceptibility) ก็จะต่ำและเป็นไปได้ยาก

  1. งดอาหารที่จะทำให้ร่างกายอ่อนแออย่างเด็ดขาด ซึ่งได้แก่ น้ำตาล ขนมหรืออาหารที่ทำจากแป้งขาว ของทอดน้ำมันเก่าหรือทอดอุณหภูมิสูง (>150 celsius) Junk food ผงชูรส น้ำอัดลม เหล้า เบียร์ ฯลฯ

    เพราะอาหารพวกนี้จะก่อให้เกิดการอักเสบขึ้นในอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งจะทำให้ร่างกายต้องทุ่มเทกำลังในการป้องกันโรคไปรักษาอวัยวะนั้น เมื่อไวรัสเข้ามาทำให้ไม่มีอะไรรับมือต่อไวรัส และอาหารพวกนี้ยังทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยตรงอีกด้วย น้ำตาลหรือ กลูโคส เป็นสิ่งที่ไวรัสชอบและใช้ในการเจริญเติบโตของมัน ยิ่งมากเท่าไรไวรัสยิ่งแข็งแรง แต่เรายิ่งอ่อนแอ

    แป้งขาวเองก็สามารถดูดซึมและเปลี่ยนเป็น กลูโคสได้เร็ว ซึ่งจะเป็นอาหารของไวรัสและทำร้ายร่างกายเราเช่นกัน
  2. กินอาหารที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง เช่น ขมิ้น ขิง ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม Apple cider vinegar น้ำมันมะพร้าว อบเชย ผักใบเขียว ฯลฯ อาหารพวกนี้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และบางตัวยังมีฤทธิ์ทำลายเชื้อโรคโดยตรงด้วย
  3. อาบแดดยามเช้า อย่างน้อย 15 นาที อยู่เป็นประจำ เพื่อช่วยสร้างไวตามินดีให้แก่ร่างกาย เพราะไวตามินดี เป็น Co enzyme ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และพวกเราทุกคนโดยเฉพาะผู้ที่อยู่แต่ในห้องแอ จะขาดสิ่งนี้กันมาก หากขาดไวตามินดี ระบบภูมิคุ้มกันย่อมทำงานได้ไม่ดีและบกพร่อง
  4. หัดงดการกินอาหารเป็นบางมื้อ (Intermittence Fasting) เพื่อทำให้ช่วงเวลาปลอดจากการกินอาหาร ยาวมากกว่า 18 ชั่วโมง เช่น งดอาหารเช้ากินเฉพาะช่วง 11.00- 17.00 หรือ งดอาหารเย็น กินช่วง 8.00 – 12.00 น.

    ในช่วงงดจะไม่กินอะไรเลยนอกจากน้ำ หรือ น้ำชา เพื่อกระตุ้นให้กระบวนการกำจัดสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย(Autophagy) ทำงาน และยังเป็นการลดการสูญเสียพลังงานในการย่อยอาหาร และ ลดพลังงานในการกำจัดของเสียลง ทำให้ร่างกายมีพลังงานเพิ่มขึ้น ของเสียตกค้างน้อยลง

    และหากเชื้อไวรัสหลุดเข้ามาในร่างกาย กระบวนการ Autophagy ที่เข้มแข็งจะสามารถกำจัดเชื้อนั้นไปได้เอง
  5. กินอาหารให้เป็นเวลา ห้ามกินจุกกินจิก เพราะการกินจุกกินจิก จะทำให้ Insulin ออกตลอด ทำให้อ้วน ไขมันเลวพอกพูน พลังงานถดถอย สร้างพิษคั่งค้างในร่างกาย
  6. ออกกำลังกายที่ไม่หักโหมจนเกินไปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นให้อวัยวะและระบบต่างๆของร่างกายมีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หากเราเอาแต่นั่งๆนอน หรือทำงานแต่ใน office ร่างกายจะอ่อนแอเหมือนทหารที่ไม่เคยซ้อมรบ เหมือนนักกีฬาที่ขาดการฝึกซ้อม
  7. เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่นก่อนฟ้าสาง (ตี5) จะช่วยให้ระบบซ่อมแซมร่างกายมีเวลาทำงานได้อย่างเต็มที่ ร่างกายและจิตใจจะเข้มแข็ง

    โดยก่อนนอนควรทำใจให้ปล่อยวางทุกสิ่งที่ผ่านมา ในตอนกลางวัน ราวกับว่าเรากำลังจากโลกนี้ไป สวดมนต์ทำสมาธิภาวนา นึกถึงความดีงามของพระพุทธองค์ แล้วเข้านอนด้วยจิตที่ว่าง

    ตื่นเช้า ให้ทำใจให้โปร่ง โล่ง ว่าง อย่าพึ่งเปิดดูมือถือ อย่าเพิ่งสนใจเรื่องราวต่างๆของโลก ทำใจราวกับโลกนี้ไม่มีอะไรอยู่เลย รักษาความสงบเช่นนั้นให้นานที่สุด แล้วเข้าห้องพระสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนา

    พอฟ้าสางให้ตั้งใจที่จะทำสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นในวันนี้ ด้วยความรักความเมตตา ความปรารถนาให้ทุกคนที่เข้ามาสัมผัสเราพ้นทุกข์และมีความสุข
  8. อย่าปล่อยใจให้เครียด เพราะมัวตกจมอยู่กับความโลภ โกรธ หลง มานะ อิจฉา หวาดวิตกของตัวเราเอง

    ความเครียดเป็นศัตรูตัวร้ายที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ความเครียดจะกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสาร Cortisol ออกมา ซึ่งจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เปิดรับโรคได้โดยง่าย และยังทำให้ไวรัสหากมีในร่างกายขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว

    การป้องกันความเครียดทำได้ด้วยการเจริญรอริยมรรคตามแนวทางที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนพวกเราไว้ ดังนั้นจึงควรศึกษา ฝึกฝนให้มาก เจริญให้มาก
  9. ในทุกๆวัน อย่าลืมที่จะอุทิศส่วนกุศลที่เราได้บำเพ็ญมาทั้งหมด ให้แก่ สรรพสัตว์ เจ้ากรรมนายเวร โอปาติกะ และชีวิตจิตวิญญาณที่ทนทุกข์ทรมาน เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นพ้นจากทุกข์ และมีความสุข

    มิฉะนั้น หากตัวเราหรือโลกเรารายล้อมด้วยจิตวิญญาณที่ทนทุกข์ทรมาน จิตใจมนุษย์ก็จะตกต่ำ วิกฤตการณ์ต่างๆก็จะเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน

หากพวกเราฝึกตนเช่นนี้ เสียแต่ตอนนี้ แม้ไวรัสไม่ระบาด เราก็จะเป็นผู้มีความสุข มีร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยได้ง่าย และมีจิตใจที่เข้มแข็งอดทน เมตตา ที่พร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป

แต่หากเกิดการระบาดใหญ่ขึ้น พวกเราซึ่งอยู่ในวัยเสี่ยงต่อโรคนี้ ก็จะมีโอกาสผ่านพ้นมันไปได้

ปล. การรักษาสุขอนามัย ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม เป็นสิ่งที่พวกเราควรจะรู้ดี ควรมีและควรกระทำอยู่แล้ว จึงมิได้กล่าวถึงในที่นี้

Comments are closed.