สองด้านของความจริง

สองด้านของความจริง

ความจริงนั้นมีสอง คือ
สมมุติสัจและปรมัตถสัจ

แต่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า
ผู้รู้ทั้งหลายจะไม่บ่งชี้ลงไปว่า
สิ่งทั้งหลายมีอยู่จริง หรือไม่มีอยู่จริง

แล้วอะไรจะจริง อะไรจะไม่จริง

หากมีจริง ก็มีไม่จริง
หากมีไม่จริง ก็มีจริง
หากยังมีอันใดอันหนึ่ง ก็ยังมีความหมายแห่งความเป็นคู่
หากยังยึดติดในความเป็นคู่ ก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได้

จริง ก็ไม่ใช่มีอยู่จริงแท้ หรือไม่มีอยู่จริง
ไม่จริง ก็ไม่ใช่มีอยู่จริงแท้ หรือไม่มีอยู่จริง

สมมุติสัจก็ไม่ใช่มีอยู่จริงแท้ หรือไม่มีอยู่จริง
ปรมัตถสัจก็ไม่ใช่มีอยู่จริงแท้ หรือไม่มีอยู่จริง

ดังนั้น
ในความหลุดพ้น จึงไม่ใช่
การติดจมอยู่ในสมมุติ ไม่เข้าใจปรมัตถ์
หรือ
ติดจมอยู่ในปรมัตถ์ ปฏิเสธสมมุติ

เพราะหากเป็นเช่นนั้น
เราก็ยังหลงยึดอยู่ในธรรมคู่อยู่ดี

มันจึงต้องดำเนินโพธิจิตเท่านั้นถึงจะหลุดพ้นไปได้อย่างแท้จริง

โดยสมมุติ
สิ่งใดเป็นทางเสื่อมก็ละ ก็ป้องกันไม่ให้เกิด
สิ่งใดเป็นทางเจริญ ก็ทำให้เกิด ก็ทำให้เต็มรอบ

โดยปรมัตถ์
ทำจิตให้บริสุทธิ์ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ทั้งสมมุติและปรมัตถ์

เช่นนั้น
เราก็จะสอดคล้องกับความจริงทั้งสมมุติและปรมัตถ์
โดยไม่ยึดติดอยู่ในสมมุติหรือปรมัตถ์
ไม่ยึดว่าอะไรจริงหรืออะไรไม่จริง

และนั่นล่ะ คือความหลุดพ้น

อย่าลืมสิว่า
ปรากฏการณ์ทั้งปวง มันคือขันธ์ห้าทั้งสิ้น
หากยังยึดติดในจริงหรือไม่จริง
มันก็คือการยึดติดในขันธ์ห้าอยู่ดี

Comments are closed.