ขอพวกเธอ จงดำรงตน ด้วยความไม่ประมาทในสังขารทั้งหลายเถิด

ขอพวกเธอ จงดำรงตน ด้วยความไม่ประมาทในสังขารทั้งหลายเถิด

คนเราเป็นทุกข์เพราะ ไม่เห็นโลกตามเป็นจริง
ไม่เห็นโลกตามเป็นจริง เพราะมีอุปสรรคคือความโลภ โกรธ หลง บดบัง
เมื่อไม่เห็นโลกตามเป็นจริง ก็ยิ่งหวั่นไหว เกิดความโลภ โกรธ หลง มากขึ้น
เมื่อความโลภ โกรธ หลงมากขึ้น ก็ยิ่งหนา ยิ่งจมลึก ไม่อาจเห็นความจริงมากขึ้น
ผล เลยจมอยู่อย่างนั้น หาทางออกอย่างไรก็ไม่ได้

คนที่ไม่เห็นโลกตามเป็นจริง ก็จะเข้าใจสิ่งต่างๆ ไปตามความคิดและอารมณ์ของตน
ไม่สามารถเข้าใจความจริงของโลกตามเป็นจริงได้

แม้บางคนดูเหมือนจะเข้าใจว่ามันเป็นอย่างนั้นๆ ตามที่ผู้รู้เคยบอกกล่าว
แต่จิตมันก็ยอมรับไม่ได้ นั่นยังไม่ใช่ความเข้าใจ มันแค่เข้าสมอง
ซึ่งก็คือ ยังมองไม่เห็นโลกตามเป็นจริง

ส่วนคนที่ไม่ศรัทธาแม้กระทั่งกับคำผู้รู้ ดื้อด้านเอาแต่ความคิดของตน นั่นเรียกว่าทิฐิมานะ
ย่อมยากมากที่จะเห็นโลกตามเป็นจริง
ซึ่งก็จะมีแต่ทุกข์ และทุกข์เท่านั้น

ดังนั้น การจะออกจากวังวนนั้นได้ ก่อนอื่นต้องเปิดใจฟังผู้รู้
แล้วทำใจให้สงบ ไม่หวั่นไหวไปตามความคิดของตนเสียก่อน

อย่าพึ่งปักใจเชื่อในสิ่งที่ปรากฏ
เพราะมันเป็นเพียงปรากฏการณ์ของการปรุงแต่งจากความหลงของตนทั้งสิ้น

เมื่อสงบได้ ค่อยพิจารณาตามว่ามันเป็นอย่างที่เราคิดหรือเปล่า
หรือว่ามันเป็นแบบที่ผู้รู้ทั้งหลายท่านเคยกล่าวเคยเตือนไว้

เมื่อพิจารณาได้ จนจิตมันยอมรับ ก็ให้ตั้งหลักด้วยปัญญานั้น
หรือใช้ปัญญานั้นมาเป็นทุนในการเผชิญกับปรากฏการณ์นั้นอีก

จงจดจำไว้ว่า แม้เข้าใจได้จริง ก็ไม่ใช่ว่าปรากฏการณ์นั้นๆมันจะหายไป
มันต้องสะท้อนออกมาอีกมาก เพราะเราหลงตอกย้ำมันไว้มาก

เมื่อมันสะท้อนออกมา ก็แค่เข้าใจมัน ไม่ไหลตาม ไม่ขัดแย้งกับมัน
สงบเย็นท่ามกลางการปรากฏขึ้นของมัน
ด้วยความเข้าใจ ในความเป็นเช่นนั้นเองของมัน ตามปัญญาที่พิจารณามา
แล้วปรากฏการณ์นั้นๆ จะค่อยๆจืดจางลง และหมดไปในที่สุด

ฟังดูอาจเหมือนเป็นสิ่งยาก แต่จริงๆไม่ยาก
หากเราไม่ปล่อยตัวปล่อยใจหลงตามอารมณ์และความคิดที่มันปรุงแต่ง

นี่ล่ะคือหนทางของพระพุทธองค์ ที่ได้ทรงโปรดเมตตาถ่ายทอดไว้
นี่ล่ะคือการประสานกันของ ศรัทธา เมตตา ศีล ขันติ วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด

และหากเราตั้งใจทำได้ครั้งหนึ่ง ในเรื่องหนึ่ง มันก็จะเป็นทุน ในการดำเนินครั้งต่อไป และต่อไปๆ
ยิ่งทำได้บ่อยเท่าไร ครั้งต่อไปก็ยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น
ซึ่งนี่ล่ะ เป็นบ่อเกิดของ ภาวนามยปัญญา

แต่ในทางตรงข้าม
หากเราปล่อยตามอำนาจมันไป มันก็จะยิ่งตอกย้ำๆ ให้แน่นหนา หาทางออกได้ยากยิ่ง

แต่อย่าลืมนะว่า มันไม่มีตัวตนที่แท้จริงของใครทั้งสิ้น
ทุกๆสิ่งเป็นเพียงกระแสเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่ง
หากเราสร้างเหตุที่ดี ผลที่ดีย่อมตามมา
หากเราสร้างเหตุแห่งทุกข์ ผลคือความทุกข์ย่อมตามมา

จงศึกษาให้ดี เปิดใจฟังผู้รู้ให้มาก แล้วพากเพียรปฏิบัติตามด้วยความอดทน

ความเมตตาตน และผู้อื่น
เป็นสิ่งที่จะช่วยตัดทอนกำลังของกิเลสได้เป็นอย่างดี

เมื่อเจริญเหตุได้มากพอ ผลย่อมเกิดในที่สุด

ขอพวกเธอ จงดำรงตน ด้วยความไม่ประมาทในสังขารทั้งหลายเถิด

Comments are closed.