เห็นโลกสองด้าน

เห็นโลกสองด้าน

การเห็นโลกตามเป็นจริงคือ
การเห็นแจ้งในความจริงทั้งสองด้าน
ทั้งสมมุติและปรมัตถ์

เห็นสมมุติก็ต้องแจ้งในปรมัตถ์ของสมมุตินั้น
เห็นปรมัตถ์ก็ต้องรู้จักความเป็นสมมุติของสิ่งที่เห็นนั้น

สมมุติต้องคู่กับปรมัตถ์เสมอ
เพราะปรมัตถ์เป็นธรรมลักษณะของสมมุติ
และสมมุติก็เป็นโลกิยลักษณะของปรมัตถ์

ธรรมทั้งหลายก็อยู่กับโลกนี่ล่ะ
นิพพานก็อยู่ในสังสารวัฏนี่ล่ะ

กิเลสก็คือธรรม
สังสารวัฏก็คือนิพพาน
มันมิได้มีการแบ่งแยกแตกต่างอันใด

ดังนั้น ผู้ที่ดำเนินโพธิจิตเท่านั้น ถึงจะไปสู่จุดหมายได้
โพธิจิตสัมพันธ์ เพื่อประโยชน์ในสมมุติ
โพธิจิตอันยิ่ง เพื่อประโยชน์ทางปรมัตถ์
ทั้งสมมุติและปรมัตถ์จึงประสานกลมกลืนกัน

สมมุติและปรมัตถ์ มันเป็นความจริงทั้งสองที่คู่กัน

บนความจริงว่า สิ่งนั้นเป็นนั่นเป็นนี่ มีลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ มีคุณมีโทษอย่างนั้นอย่างนี้
มั้นก็มีความจริงว่า มันว่างเปล่าจากความเป็นนั่นเป็นนี่ ว่างเปล่าจากลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ ว่างเปล่าจากคุณโทษอย่างนั้นอย่างนี้ที่แท้จริง
แต่บนความว่างเปล่าเช่นนั้น มันไม่ใช่ความไม่มี
แต่เป็น ไม่มีบนความมี มีบนความไม่มี
ว่างเปล่าแต่ปรากฏ ปรากฏแต่ว่างเปล่า

นี่ล่ะคือ มายา
คือ ความเป็นธรรมดาอย่างนั้นเองของธรรมทั้งปวง

แต่หากเราเห็นเพียงข้างเดียว ว่า
สมมุติจริง ไม่เห็นปรมัตถ์ หรือ
ปรมัตถ์จริง สมมุติไม่จริง
นั่นมันก็เอนเอียง ไม่ใช่ความเป็นกลาง
ยังเป็นทิฐิที่แบ่งแยกแตกต่าง
เป็นอัตตาทิฐิอยู่ดี

ไม่สามารถคงอยู่บนความสงบแห่งธรรมชาติดั้งเดิมได้

ดังนั้น
จงพิจารณาให้ดี
เสริมสร้างสัมมาทิฐิให้ตรง
จะได้ไม่เฉไฉออกจากทางสายกลาง

Comments are closed.