การเลี้ยงลูก

การเลี้ยงลูก

ปัญหาที่ลูกไม่เชื่อฟัง ไม่เป็นดังใจ เป็นปัญหาที่พ่อแม่ทุกคนมักจะต้องเจอ อย่าได้โทษกรรมเวรในอดีตอะไร เลย มันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย ที่แวดล้อมและเติมแต่งเขามาตั้งแต่เด็ก อันนี้มีอิทธิพลมากที่สุด ยิ่งวิธีการเรียนการสอนแบบฝรั่ง ที่สอนให้เด็กแสดงศักยภาพของตัวเองให้มาก ยิ่งทำให้เด็กมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง และบางทีก็เลยไปเป็นมานะอัตตา ซึ่งผลก็คือ จะไม่ยอมฟังใครง่ายๆ

เด็กที่เป็นตัวของตัวเอง จะฉลาดเรียนรู้ เอาตัวรอด อดทน กล้าได้กล้าเสีย แต่ก็อาจจะดื้อไม่ค่อยฟังใครเป็นของคู่กัน ซึ่งจริงๆไม่ควรจะเรียกว่าดื้อหรอก เพราะ เขาชอบที่จะคิด จะเรียนรู้ จะเลือกด้วยตัวเขาเอง มันจึงดูเหมือนเขาไม่ฟังใคร
ส่วนเด็กที่ว่านอนสอนง่าย สั่งยังไงสอนยังไง เป็นอย่างนั้น อันนี้ก็ดูดี แต่ มักจะขาดความเชื่อมั่น ไม่กล้าตัดสินใจ และไม่ค่อยชอบเรียนรู้

ไม่ว่าแบบไหนมันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียทั้งนั้น มันจึงสำคัญที่ว่า เราต้องรู้จักลูกของเราว่าเป็นแบบไหน และใช้กุศโลบายให้เหมาะสมกับเขา

พูดเสมอว่า ไม่ว่าใครจะทำอย่างไรกับเรา หากเราโกรธ เราขุ่นเคือง นั่นเป็นความผิดพลาดในการวางใจของเราเอง หากเรามองไม่เห็นตรงนี้ เราก็ยังคงผูกใจในสิ่งที่เราว่าไม่ดี ที่เขากระทำกับเราอยู่อย่างนั้น
ปัญหาทุกอย่างมันต้องแก้ที่ตัวเราเอง อย่าคิดไปเปลี่ยนแปลงผู้อื่นเลย มันเป็นไปแทบไม่ได้
แม้ลูกของเราก็ตาม อย่าได้คิดว่าเราจะมีอำนาจเหนือเขา ที่จะขีดเส้นให้เขาเดิน ให้เขาทำตาม เพียงด้วยเหตุผลที่ว่า เขาเป็นลูกของเรา เรารักเราหวังดีกับเขา
เพราะโดยความจริงแล้ว เราเป็นเพียงเหตุปัจจัยเล็กๆของพฤติกรรมของเขาเท่านั้น

เราจึงมีหน้าที่ที่จะสร้างเหตุปัจจัยให้ดีที่สุด ด้วยความรักความปรารถนาดี แต่ก็ต้องทำใจไว้เลยว่า มันอาจไม่ได้เป็นดังหวัง แต่ถึงแม้ไม่เป็น เราก็จะ เฝ้าคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง ยามเมื่อถึงเวลาอันควร

ทำไมระฆังมันถึงดังล่ะ ก็เพราะไม้ตีมันแข็ง และระฆังมันก็แข็ง หากอันใดอันหนึ่งมันนุ่ม แล้วมันจะดังได้ไหม
ดังนั้น หากมนุษย์เราเอาตัวตนเข้าชนกัน มันก็เป็นเรื่องขึ้นทุกที
แต่หากมีคนหนึ่งฉลาดที่จะยอม ยอมอ่อนลง มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
แต่นั่นล่ะ มันก็ยากที่คนเราจะยอมลดทิฐิมานะของตน มันถึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งกันทั่วทุกมุมโลก

การทำความดีทั้งหลายมันต้องคู่กับความไม่ยึดติด ไม่ยึดว่ามันดี ไม่ยึดว่าเรากำลังทำดี ไม่ยึดว่า เราเป็นผู้ดี
ความรักความเมตตาก็เช่นกัน มันเป็นความดีระดับสูง มันยิ่งต้องคู่กับความไม่ยึดติดหรือสุญญตา
คนเรามักเริ่มด้วยความรู้สึกว่ารักและปรารถนาดีต่อเขาและอยากให้เขาได้อะไรดีๆ
แต่พอเรายึดมั่นในสิ่งนั้น ยึดว่ามันดี ยึดว่าฉันหวังดี พอเขาไม่เชื่อ ไม่ฟัง หรือทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ความหวังดีตรงนั้น มันก็เลยกลับกลายเป็นโทสะ
นี่ไม่ได้เป็นเพราะเขาไม่ฟังเรา แต่มันเป็นเพราะเรายึดมั่นถือมั่นในความดีนั้น
เมื่อเรายึดมั่นมันเกินไป เราก็จะคาดหวังมากโดย ไม่ดูเหตุ ไม่ดูปัจจัย ไม่ดูกาละ เทศะ ไม่ดูสถานการณ์ ว่าเหมาะสมสมควรหรือไม่
มันพุ่งไปเพื่อจะให้ได้ดีดังที่ใจคิด ด้วยจิตที่มืดมิดเพราะอวิชชาความหลง
หลงว่าสิ่งนั้นมันดีจริง หลงอยากจะให้เขาเชื่อ อยากจะให้เขาได้ดีตาม
แต่ลืมความจริงไปว่า ดีใดๆมันก็ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย
หลายๆครั้งที่สิ่งที่เคยดีก็กลับกลายเป็นไม่ดีเมื่อเหตุปัจจัยเปลี่ยน
บางครั้งสิ่งดีๆนี่ล่ะกลับทำให้เกิดโทษและปัญหามากมาย
ซึ่งทั้งหมด มันไม่ได้เกิดจากอะไรอื่นเลย นอกจากความติดดี ยึดดี

คนปรารถนาดี ทำดี มอบสิ่งดีๆให้ผู้อื่น มันต้องทำด้วยใจที่สงบ ทำด้วยใจที่ไม่พุ่ง เพื่อจะได้มีโอกาสดูสถานการณ์ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ เพื่อให้ความดีนั้นเกิดผล มิฉะนั้นมันอาจให้ผลเป็นตรงข้าม

ยิ่งเรื่องธรรมะด้วยแล้ว แม้มันจะเป็นสิ่งที่ดี แต่โลกปัจจุบันนี้ จะมีสักกี่คนที่จะเปิดใจฟัง
มันจึงเป็นการยากมากที่จะให้ใครสักคนเข้ามาสนใจ
หากเราเข้าใจความจริงตรงนี้ เราก็อย่าได้พุ่งไปที่จะยัดเยียดธรรมให้แก่คนอื่นเลย มันต้องดูเหตุดูปัจจัย ดูจังหวะเวลา และบุคคล อย่างมาก
เพราะสิ่งหนึ่งที่คนเราเป็นกันมากก็คือ
เมื่อตนรู้อะไรดีๆ พบสิ่งดีๆ ก็อยากจะบอกให้โลกรู้ อยากจะแจกจ่าย
แต่บนความพยายามนั้น กลับลืมดูว่า เหมาะมันสมหรือไม่ ผลก็เลยลงเอยด้วยความโกรธเกลียด หรืออาจลามไปถึงดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ที่เขาไม่สนใจธรรมนั้น
แต่สิ่งที่เราลืมดูตัวเองอยู่เสมอก็คือ เราสอนเขาแนะนำเขาเพื่อเขา หรือเพื่อตัวตนของเรา
ดังนั้น หากเราหวังดี และปรารถนาที่จะมอบธรรมะให้แก่ผู้อื่น
เราควรเป็นให้ดู อยู่ให้เขาเห็น เฝ้ารอคอย ให้เขาเปิดใจ ให้เขาสนใจ ให้เขาถาม ให้เขาเป็นฝ่ายเข้ามา นั่นล่ะคือการเผยแผ่ธรรมที่ดีที่สุด
เพราะมิฉะนั้น เราก็จะสร้างทุกข์ให้กับตัวเองและผู้อื่น เพราะความหวังดีของเรานี่ล่ะ

Comments are closed.