พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เราไปโทษผู้อื่น

พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เราไปโทษผู้อื่น

หากมีคนเอาอาหารที่ไม่ถูกธาตุมาให้เราด้วยความไม่รู้ แล้วเรารีบรับรีบสวาปามเข้าไปเพราะความอยาก ผลคือตัวเราเองก็ต้องล้มป่วย แล้วใครเล่าผิด?

จะโทษผู้เอามาให้ว่าไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะเลือกอาหารให้ถูกธาตุกับเราหรือจะแก้ไขความผิดพลาดที่ตัวเราเพราะเราเต็มไปด้วยความละโมบโลภมาก ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ จนต้องล้มป่วยลง

พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เราไปโทษผู้อื่น เปลี่ยนผู้อื่น แต่สอนให้เรามองข้อผิดพลาดที่ตัวเราเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง

ทองคำบริสุทธิ์ย่อมคงความบริสุทธิ์ไว้เช่นเดิม ไม่ว่าจะอยู่ในตู้เซฟ หรือในโคลนตม

บุคคลผู้สกปรก เที่ยวโทษผู้อื่นว่า มาทำไม่ดีกับตน เอาสิ่งไม่ดีมาให้ตน ตนเลยไม่สามารถรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้ มันช่างน่าอเนจอนาจใจยิ่งนัก

พุทธศาสนาบอบช้ำมามากแล้ว ก็เพราะชาวพุทธเราใช้ธรรมกลับทาง
แทนที่จะใช้ธรรมมาเรียนรู้ตนเอง แก้ไขตนเอง ปรับปรุงตนเอง เพื่อพัฒนาตน เพื่อลดละตัวตนของตน เพื่อการปล่อยวางและทำประโยชน์แก่ผู้อื่นให้มากขึ้น

เรากลับเอาธรรมมาเป็นเครื่องยกหูชูหางตน เอาธรรมไปเป็นมาตรวัดผู้อื่น ไปขีดเส้นผู้อื่น สร้างความแบ่งแยก ก่อให้เกิดกูดี มึงเลว กูถูก มึงผิด กูรู้ธรรม มึงไม่รู้ธรรม

ซึ่งนี่ล่ะเป็นอาการสำคัญของโรคติดดี เมาดี ยึดดี ที่ระบาดอยู่ทั่วไปในหมู่ชาวพุทธไม่ว่าพระว่าโยม

เข้าทำนอง โทษผู้อื่นเท่าขุนเขา โทษของเรากลับมองไม่เห็น

ดังนั้น พวกเราจึงควรมองตน ตรวจสอบตน แก้ไขตน อย่าได้เที่ยวไปโทษผู้อื่นเลย
อย่าไปคาดหวังให้ใครเค้าเปลี่ยนเพื่อตัวเรา หรือหวังให้ใครเป็นอะไรๆในแบบที่เรายึดมั่นอยู่
แต่เราจงเปิดใจยอมรับและเข้าใจเค้าในแบบที่เขาเป็น

จะดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวเราคิด ตัวเราทำ
ใครทำดีก็ย่อมได้รับผลของกรรมดีนั้น
ใครทำไม่ดีก็ต้องรับผลแห่งความไม่ดีนั้น

อย่าได้สร้างความแตกแยก ทำลายความสามัคคี ด้วยการยกหางว่าตนดี แล้วดูถูกผู้อื่นว่าไม่ดีเลย

หากเราบริสุทธิ์จริง อะไรล่ะจะมาทำให้เราแปดเปื้อนได้

 

เจริญธรรม

อาจารย์หมอ

Comments are closed.